มรกตปุระมหานครแห่งความหวัง - นิยาย มรกตปุระมหานครแห่งความหวัง : Dek-D.com - Writer
×

    มรกตปุระมหานครแห่งความหวัง

    ความมหัสจรรย์พันลึกที่ชายหนุ่มหญิงสาวต้องพบเจอในการเดินทางสู่มหานครแห่งความหวัง อาทิ แหวนมกรเทวา กำไลมหาหงษ์ พรายน้ำ ปีศาจเทสะกะ หมู่บ้านดำ บึงมฤตยู ธนูไฟแห่งลาวานา งูยักษ์แห่งลุ่มน้ำสาละวินฯลฯ

    ผู้เข้าชมรวม

    961

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    31

    ผู้เข้าชมรวม


    961

    ความคิดเห็น


    9

    คนติดตาม


    13
    จำนวนตอน :  40 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  2 พ.ย. 67 / 12:13 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    มันคืออะไร?

                   ในมุมหนึ่งของมหาวิทยาลัยชื่อดังของมหานครแห่งสยามประเทศ หญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินพูดคุยหยอกล้อกันอย่างมีความสุข หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหารของมหาวิทยาลัยเพื่อกลับไปเรียนต่อในช่วงบ่ายที่คณะอักษรศาสตร์ ระหว่างเส้นทางเดินซึ่งปูด้วยอิฐตัวหนอนเรียงรายสลับสีดูสวยงาม มีต้นไม้เล็กใหญ่ยืนต้นตลอดแนวทางเดิน 

    “วันนี้ชั้นกินขนมจีนของป้าแก้วซะเต็มคราบเลย” ปูเป้ สาวเจ้าของร่างอวบอ้วนพูดขึ้น

    “เธอก็ตะกละตะกลามอย่างนี้ตลอดแหละ”น้อย หญิงสาวเจ้าของความสูง 170 เซนติเมตร ผิวดำแดง ผมยาวเกือบเอวแซวเพื่อน

    “ก็มันอร่อยอะ ฝันไว้ตั้งแต่เมื่อคืน” ปูเป้ สารภาพเสียงอ่อย

    “อยากกินขนาดเก็บไปฝันเลยรึยายอ้วน”พี่เก๋ สาวผู้มีอายุมากที่สุดในกลุ่มแซวเพื่อน

                   ทั้งกลุ่มหัวเราะกันลั่น ขณะที่เดินคุยกันอย่างได้อรรถรส จู่ๆก็เกิดลมพัดมาที่กลุ่มนักศึกษาสาวอย่างรุนแรง โดยไม่มีสิ่งใดบอกเหตุมาก่อนเลย เพราะเมื่อสักครู่ก่อนหน้าที่ท้องฟ้าเหนือรั้วมหาวิทยาลัยยังปลอดโปร่งอยู่เลย หญิงสาวทั้งกลุ่มร้องกรี๊ดดังลั่นด้วยความกลัว และตกใจกับเหตุการณฺ์ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด  ทั้งหมดต่างเข้ามากอดกันไว้จนแน่นเพื่อไม่ให้ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องปลิวไปตามแรงลม

                   เมื่อลมเริ่มลดความรุนแรงลง สักครู่ก็มีเสียงดังเอี๊ยดจากต้นไม้ใหญ่ที่อยู่เหนือศรีษะของกลุ่มนักศึกษาสาว ทำให้ทั้งหมดหยุดการปัดทำความสะอาดหน้าตาและชุดนักศึกษาจากฝุ่นและเศษใบไม้ที่ปลิวมาตามแรงลมแล้วหันขึ้นไปมองพร้อมกัน ยังไม่ทันที่ทุกคนจะพูดอะไร ตาของทุกคนก็ต้องเบิกโพลงเมื่อเห็นกิ่งไม้ขนาดใหญ่เท่าต้นขาหักล่วงลงมาใส่กลุ่มนักศึกษาสาว ทั้งหมดเอามือกุมที่ศรีษะแล้วร้องกรี๊ดดังลั่นพร้อมๆกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ทรุดตัวนั่งลง เนื่องจากตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนทำอะไรไม่ถูก ในใจของทุกคนคงคิดเหมือนกันว่า “คงจะไม่รอดแน่ๆ”

                   ฉับพลันก็เกิดวงแหวนสีเขียวมรกตคลุมร่างของหญิงสาวทั้งกลุ่มไว้ เมื่อกิ่งไม้หล่นลงมากระทบกับรัศมีของวงแหวนดังกล่าวก็กระเด็นกระดอนออกไปไกลจากกลุ่มนักศึกษาสาว ทั้งหมดค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ต่างสำรวจสรีระร่างกายของตัวเองว่ามีส่วนใหนที่แตกหักเสียหายหรือได้รับบาดเจ็บบ้าง ทุกคนก็ต้องประหลาดใจ เมื่อทุกคนไม่มีร่องรอยที่จะได้รับความเสียหายหรือบาดเจ็บจากการถูกกิ่งไม้ใหญ่หล่นมาใส่แต่อย่างใด

    “มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?" ฉัตรกมล หญิงสาวเจ้าของเรือนร่าวผอมเพรียว ผิวขาวดังหยวก กับส่วนสูง 170 เซ็นติเมตร ผมยาวปะบ่า กล่าวขึ้นด้วยความตื่นเต้นกับเหตุการณฺ์ที่เกิดขึ้น

    “นั่นนะซิ มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราไม่เป็นอะไรเลย”พาฝัน หญิงสาวในกลุ่มอีกคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความสงสัย

    “เมื่อตะกี้เห็นแวบๆ เป็นแสงสีเขียวๆสว่างขึ้นมารอบๆตัวพวกเรา ใครเห็นบ้าง”พี่เก๋ เจ้าของเรือนร่างสูงเพรียวราวกับนางแบบกับส่วนสูง 175 เซ็นติเมตร ผิวเนื้อดำแดง หันไปถามสมาชิกในกลุ่ม

    “ชั้นก็เห็น”น้อยว่า

    “ชั้นก็เห็นด้วย แล้วมันคืออะไรละ”ปูเป้ถามขึ้น

                   ในขณะที่ทุกคนถามกันไปถามกันมากับความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นที่ทำให้ทุกคนรอดพ้นจากภัยอันตรายในครั้งนี้ โดยไม่มีผู้ใดให้คำตอบได้  เดือนดารา นักศึกษาสาวเจ้าของเรือนร่างขาวสูงราวๆ 170 เซ็นติเมตร ผมม้ายาวปะบ่า สวมแว่นตาสมกับเป็นเด็กเนิร์ด หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มกับไม่พูดอะไร เอาแต่ยืนฟังเพื่อนๆออกความเห็น เนื่องจากเธอพอจะรู้ว่าสิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่เกิดจากอะไร แต่ก็ยังไม่แน่ใจในความคิดของตน

    “เดือนเธอไม่เห็นอะไรเลยเหรอ”ฉัตรกมลหันไปถามเดือนดาราที่เอาแต่ยืนนิ่งอยู่

    เดือนดาราไม่ตอบว่ากะไร ได้แต่อมยิ้ม แล้วเปลี่ยนเรื่อง

    “ชั้นว่าพวกเรารีบเข้าไปในตัวอาคารเถอะ จะได้ปลอดภัยกว่าอยู่ตรงนี้” เดือนดารากล่าวชวนเพื่อนๆ พร้อมจูงมือเพื่อนๆกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังอาคารเรียนที่อยู่ใกล้ๆ

    …………………………………………

                   อีกมุมหนึ่งในซอยเล็กๆแถวถนนราชดำเนิน  ชายวัยรุ่นสองคนในชุดเสื้อยืดสีดำมีลวดลายที่หน้าอกเสื้อ

    เหมือนท่ี่วัยรุ่นทั่วไปชอบใส่ สวมกางเกงยีนที่มีร่องรอยขาดวิ่นแทบจะทั้งตัว รองเท้าคู่ใจเป็นรองเท้าแตะตราช้างดาว กำลังสาระวนอยู่กับการการงัดรถ Toyota  Alphard สีขาว หมายจะขโมยทรัพย์สินมีค่าที่อยู่ในรถหรูคันนี้ โดยคนหนึ่งทำหน้าที่งัด อีกคนหนึ่งทำหน้าที่ดูต้นทาง

    “ได้ยังพี่” หัวขโมยรุ่นน้องวัยย่าง 18 ปี ถามด้วยความกระวนกระวายใจกลัวใครจะมาเห็น สายตาสอดส่ายดูต้นทาง

    “เอ็งก็อย่าเร่งข้านักสิวะ กำลังรีบอยู่”หัวขโมยรุ่นพี่อายุมากกว่า 2 ปี พูดพลาง งัดรถไปพลาง

    ยังไม่ทันที่หัวขโมยผู้พี่จะงัดรถได้ เสียงปลดล็อคก็ดังขึ้นเอง ทำเอาหัวขโมยทั้งสองตกอกตกใจ หันมองหน้ากันเลิ่กลัก

    “พี่งัดได้หรือล็อคมันปลดเองอะ”เจ หัวขโมยรุ่นน้องถามขึ้น

    “ข้ายังงัดไม่ได้เลย แต่ล็อคมันปลดเองวะ”แจ็ค หัวขโมยรุ่นพี่หันไปบอกรุ่นน้อง

    “หรือว่าเจ้าของเขาจะมาที่รถแล้วละพี่”เจ ถามอีกด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

    แจ็คค่อยๆสำรวจรอบๆบริเวณ ก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ รออีกสักครู่ใหญ่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

    “หรือว่าเราปลดล็อคได้เองวะ อะไรจะเก่งเบอร์นี้” แจ็คนึกชมตัวเอง

    “ฉันว่ารีบเปิดเข้าไปเอาของแล้วรีบไปเถอะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าใหร่” เจ ให้ความเห็น

                   ทั้งคู่รีบเปิดประตูรถอย่างเงียบกริบ แล้วเข้าไปหยิบฉวยทรัพย์เงินมีค่าต่างๆที่อยู่ในรถ ทั้งโทรศัพท์มือถือ Iphone 14  โน๊ตบุ๊ค นาฬิกาแบรนแนม เงินสดฯลฯ ได้ทรัพย์สินพอสมควรก็รีบเอาใส่กระเป๋าเป้สัดำแล้วลงจากรถ แต่พอเท้าของทั้งคู่แตะที่พื้นก็ปรากฎเถาวัลย์สีเขียวมรกตทั้งเล็กทั้งใหญ่ก็พันเข้าที่ข้อเท้าของหัวขโมยทั้งสอง ทำให้หัวขโมยทั้งสองล้มลงกับพื้นเสียงดังตุ๊บใหญ่ๆ หน้าตาของแจ็คและเจตื่นตะหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทั้งคู่ยังไม่ทันได้ทำอะไรต่อ ร่างของทั้งคู่ก็ถูกเถาวัลย์ลากไปกับพื้นและถูกดึงขึ้นไปแขวนอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ซึ่งยืนต้นอยู่แถวนั้น ศรีษะของทั้งคู่ห่างจากพื้นคอนกรีตบริเวณนั้นประมาณ 2 เมตรกว่า สร้างความหวาดเสียวให้กับทั้งคู่ 

    “ช่วยด้วย ช่วยผมด้วย”ทั้งคู่ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือดังลั่นไปทั่วบริเวณ แต่แปลกกลับไม่มีผู้คนได้ยินและออกมาดูเหตุการณฺฺ์แต่อย่างใด ผู้คนในละแวกนั้นก็ยังใช้ชีวิต ทำกิจกรรมปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยิ่งสร้างประหลาดใจให้แก่หัวขโมยทั้งสองเป็นอย่างยิ่ง

                   สักครู่หนึ่งก็ปรากฎร่างของชายชรา ผมและหนวดเคราขาวโพลน ในชุดเสื้อคอพระราชทาน กางเกงสแล็ค และรองเท้าหนังสีขาว ในมือถือไม้เท้าที่ทำจากไม้สักทองสลักลวดลายดูสวยงาม ส่วนหัวไม้เท้าเป็นมรกตขนาดเขื่องที่ผ่านการเจียรนัยอย่างสวยงามประดับอยู่ เดินออกมาจากอาคารหลังหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆกัน และมาหยุดตรงหน้าของหัวขโมยทั้งสอง

    “ตาแก่ ช่วยเอาพวกฉันลงไปหน่อย” หนึ่งในหัวขโมยพูดเสียงกร้าว

    “นี่จะให้คนอื่นเขาช่วย แล้วยังพูดจาไม่ดีอีก”ชายชราพูดด้วยเสียงก้องกังวาน เถาวัลย์สีเขียวมรกตดึงร่างของหัวขโมยทั้งสองขึ้นไปอีกทำเอาทั้งสองคนโวยวายหน้าตาตื่น

    “คุณตาค้าบ ช่วยพวกผมด้วยนะค้าบ”หัวขโมยอีกคนหนึ่งเริ่มรู้สึกอาการไม่ดีจากการถูกแขวนห้อยศรีษะลงพื้นนานๆกล่าวเสียงอ่อย

    “รู้ไหมว่า รถคันนี้ รถใคร” ชายชราถามขึ้นพลางชี้ไปที่่รถ Toyota Alphard สีขาว

    “มะ…ไม่รู้ค้าบ” สองหัวขโมยตอบเสียงอ่อย

    “นั่นมันรถของฉันเอง ของที่พวกเธอกำลังจะขโมยก็เป็นของๆฉันเอง” ชายชราเฉลย

    “พวกผมจะคืนของให้หมดเลยค้าบ แต่ช่วยปล่อยพวกผมไปที”หัวขโมยคนหนึ่งยกมือไหว้เพื่อต่อรอง

    “ฉันจะปล่อยพวกเธอก็ได้ แต่มีข้อแม้นะ”ชายชรายื่นข้อเสนอ

    “จะให้พวกผมทำอะไรได้หมดเลยค้าบ ขอแค่ช่วยปล่อยพวกผมลงไปที เลือดจะลงหัวตายอยู่แล้ว”หัวขโมยทั้งสองรับคำ เพราะสีหน้าของทั้งคู่แดงปลั่งด้วยเลือดที่ลงหัว

    “จริงนะ” ชายชราพูดพลางอมยิ้มที่มุมปาก

    “จะ…จริงค้าบ” หัวขโมยทั้งสองยืนยันคำเดิม

    “เงื่อนไขของฉันก็คือ ในอีก 1 เดือนข้างหน้าให้พวกเธอจะต้องทำภารกิจที่ฉันจะมอบหมายให้สำเร็จ โอเคไหม”ชายชรายื่นข้อเสนอ

    “ภารกิจอะไรค้าบ?” เจ หัวขโมยรุ่นน้องถามขึ้น

    “เอ็งก็อย่าเรื่องมาก เขาให้ทำอะไรก็ทำเถอะ ข้าจะไม่ไหวแล้ว” แจ็คตบศรีษะหัวขโมยรุ่นน้องดังเพี้ยะ

    “พวกผมยอมทำตามเงื่อนไขของคุณตาค้าบ” หัวขโมยทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกัน

    “อย่่าบิดพลิ้วนะ ถ้าบิดพริ้วคงจะรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้น”ชายชราขู่

                   เมื่อเห็นว่าหัวขโมยทั้งสองไม่ตอบ และมีอาการไม่ค่อยสู้ดีนักกับการที่ต้องห้อยศรีษะอยู่นานๆ ชายชราจีงผายมือทั้งสองข้างออก ฉับพลันเถาวัลย์ที่พันธนาการขาของหัวขโมยทั้งสองก็ค่อยเคลื่อนตัวออกมาอย่างรวดเร็วทำให้ร่างของทั้งคู่ตกกระแทกพื้นเสียงดังลั่น ทั้งคู่นอนบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่จะพยุงตัวซึ่งกันและกันลุกขึ้น พอได้มีโอกาสลืมตาทั้ง 2 คู่อย่างเต็มตาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เพราะภาพที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า ไม่มีรถ Toyota Alphard สีขาว ไม่มีชายชรา ไม่มีเถาวัลย์สีเขียวมรกต ทั้งคู่หันไปค้นกระเป๋าเป้หนังสีดำก็ไม่พบอะไรในนั้นเลย ทุกอย่างเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

    “อะไรกันเนี้ย” เจ อุทาน

    “หรือว่าเราฝันไป” แจ็คพูดพลางขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจกับสิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้า แต่เมื่อทั้งคู่ก้มลงมองที่ข้อเท้าทั้ง 4 ข้างก็ปรากฎร่องรอยถูกรัดจนเป็นรอยช้ำอย่างชัดเจน ทั้งคู่หันมามองหน้าและมั่นใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกตนมันคือความจริง แต่รถ Toyota Alphrad สีขาวหายไปใหน ชายชราหายไปใหน เถาวัลย์สีเขียวมรกตหายไปใหน ทรัพย์สินที่พวกตนขโมยมาหายไปใหน ทั้งหมดอยู่ในความสงสัยของทั้งคู่

    “มันคืออะไร?”หัวขโมยคนหนึ่งถามตัวเอง

    “มันจะคืออะไร ก็ช่างแม่งมันเถอะ ข้าว่าพวกเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่า รู้สึกไม่ค่อยดีเลยวะ” หัวขโมยอีกคนหนึ่งชวนเพื่อน พลางกึ่งวิ่งกึ่งเดินออกจากที่นั่นไป

    ……………………………………

                   

     

         

                 

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น